การบริหารจัดการธุรกิจหลังเกิดภัยพิบัติ

ภัยพิบัติทางธรรมชาติ เช่น แผ่นดินไหว น้ำท่วม หรือพายุรุนแรง สามารถส่งผลกระทบอย่างมหาศาลต่อการดำเนินธุรกิจ ไม่เพียงแต่ทำความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพเท่านั้น แต่ยังรบกวนการทำงานประจำวัน กระทบต่อสุขภาพจิตของพนักงาน และอาจทำให้ธุรกิจหยุดชะงักเป็นเวลานาน การมีแผนบริหารจัดการหลังเกิดภัยพิบัติที่มีประสิทธิภาพจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับทุกองค์กร ไม่ว่าจะมีขนาดเล็กหรือใหญ่
บทความนี้ ByteHR จะแนะนำแนวทางและกลยุทธ์ที่ผู้บริหารและฝ่ายทรัพยากรบุคคล (HR) สามารถนำไปใช้เพื่อรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินและฟื้นฟูการดำเนินงานของบริษัทหลังจากเกิดภัยพิบัติ
แผนรองรับภัยพิบัติสำหรับธุรกิจ
1. ประเมินความเสียหายและความปลอดภัย
การประเมินความเสียหายอย่างรวดเร็วและครอบคลุมเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญในการตอบสนองต่อภัยพิบัติ
ตรวจสอบความปลอดภัยของพนักงาน: ติดต่อพนักงานทุกคนโดยเร็วที่สุดเพื่อยืนยันสถานะความปลอดภัย
ประเมินความเสียหายทางกายภาพ: ตรวจสอบอาคาร อุปกรณ์ และทรัพย์สินอื่นๆ
ประเมินความเสียหายทางดิจิทัล: ตรวจสอบระบบ IT, ข้อมูล และโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล
จัดทำรายงานความเสียหาย: บันทึกความเสียหายทั้งหมดอย่างละเอียดเพื่อวัตถุประสงค์ด้านประกันและการวางแผน
2. จัดตั้งศูนย์บัญชาการเหตุฉุกเฉิน (EOC)
การจัดตั้งศูนย์บัญชาการเหตุฉุกเฉินจะช่วยประสานงานการตอบสนองและการสื่อสารทั้งหมด:
กำหนดทีมตอบสนองหลัก: ประกอบด้วยตัวแทนจากแผนกต่างๆ รวมถึง HR, IT, การเงิน และการปฏิบัติงาน
สร้างช่องทางการสื่อสารฉุกเฉิน: เช่น กลุ่มไลน์ แอพพลิเคชั่นข้อความ หรือแพลตฟอร์มการสื่อสารสำรอง
กำหนดบทบาทและความรับผิดชอบอย่างชัดเจน: มอบหมายหน้าที่เฉพาะสำหรับแต่ละสมาชิกของทีม
จัดทำตารางการประชุมสรุปสถานการณ์ประจำวัน: เพื่อติดตามความคืบหน้าและปรับแผนตามความจำเป็น
กลยุทธ์การบริหารทรัพยากรบุคคลช่วงภัยพิบัติ

1. การดูแลความปลอดภัยและสวัสดิภาพของพนักงาน
บุคลากรคือทรัพยากรที่มีค่าที่สุดขององค์กร การให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและสวัสดิภาพของพวกเขาควรเป็นลำดับความสำคัญสูงสุด
จัดบริการให้คำปรึกษาด้านสุขภาพจิต: ช่วยพนักงานจัดการกับความเครียดและความวิตกกังวล
นโยบายการลาแบบยืดหยุ่น: อนุญาตให้พนักงานมีเวลาในการฟื้นฟูและจัดการกับความเสียหายส่วนตัว
ให้ความช่วยเหลือทางการเงินฉุกเฉิน: พิจารณาการให้เงินช่วยเหลือ เงินกู้ หรือการเบิกเงินเดือนล่วงหน้า
2. รูปแบบการทำงานทางเลือกและนโยบายชั่วคราว
ความยืดหยุ่นเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาความต่อเนื่องทางธุรกิจหลังเกิดภัยพิบัติ:
นโยบายการทำงานระยะไกล: จัดเตรียมโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการทำงานจากที่บ้านหรือสถานที่อื่น
ชั่วโมงการทำงานที่ยืดหยุ่น: ปรับตารางเวลาให้พนักงานสามารถจัดการภาระส่วนตัวได้
พื้นที่ทำงานชั่วคราว: หากสำนักงานหลักได้รับความเสียหาย ให้พิจารณาเช่าพื้นที่ทำงานร่วม (co-working space) หรือสำนักงานชั่วคราว
การหมุนเวียนงาน: ฝึกอบรมพนักงานให้สามารถทำงานข้ามสายงานเพื่อรองรับการขาดแคลนบุคลากรในบางตำแหน่ง
การฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานและการดำเนินงานทางธุรกิจ
1. การกู้คืนระบบไอทีและข้อมูล
เรียกใช้แผนการกู้คืนข้อมูลจากภัยพิบัติ (DRP): กู้คืนข้อมูลจากการสำรองข้อมูลในระบบคลาวด์หรือนอกสถานที่
ตรวจสอบความสมบูรณ์ของข้อมูล: ตรวจสอบว่ามีข้อมูลสูญหายหรือเสียหายหรือไม่
ตั้งค่าโซลูชันชั่วคราว: ใช้บริการคลาวด์หรือโซลูชันเทคโนโลยีทางเลือกจนกว่าจะสามารถกู้คืนระบบหลักได้
ทดสอบระบบอย่างละเอียด: ก่อนเปิดให้ใช้งานอีกครั้ง ตรวจสอบให้แน่ใจว่าระบบทั้งหมดทำงานได้อย่างถูกต้อง
2. การปรับแผนธุรกิจและห่วงโซ่อุปทาน
ติดต่อซัพพลายเออร์และพันธมิตร: ประเมินสถานะของพวกเขาและระบุปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในห่วงโซ่อุปทาน
หาแหล่งทางเลือก: ระบุซัพพลายเออร์หรือผู้ให้บริการทางเลือกสำหรับทรัพยากรสำคัญ
แจ้งให้ลูกค้าทราบ: สื่อสารกับลูกค้าเกี่ยวกับการหยุดชะงักที่อาจเกิดขึ้นและเวลาที่คาดว่าจะกลับมาดำเนินการตามปกติ
การสื่อสารในภาวะวิกฤต: กุญแจสู่การฟื้นฟูที่ราบรื่น
1. การสื่อสารภายในองค์กร
การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพกับพนักงานช่วยลดความสับสนและรักษาขวัญกำลังใจ
สื่อสารอย่างสม่ำเสมอและโปร่งใส: แจ้งข้อมูลล่าสุดแก่พนักงานทุกคนเกี่ยวกับสถานการณ์และแผนการ
ใช้หลายช่องทาง: อีเมล ข้อความ โซเชียลมีเดีย การประชุมเสมือนจริง เพื่อให้แน่ใจว่าข้อความถูกส่งถึงทุกคน
สร้างระบบการรายงานสถานะ: ให้พนักงานสามารถรายงานสถานะและความต้องการของตนเองได้
จัดการกับข่าวลือ: แก้ไขข้อมูลที่ไม่ถูกต้องอย่างรวดเร็วเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของข่าวลือ
2. การสื่อสารกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียภายนอก
การรักษาความเชื่อมั่นของลูกค้า นักลงทุน และชุมชนมีความสำคัญต่อการฟื้นตัวในระยะยาว
เตรียมแถลงการณ์สาธารณะ: ร่างข้อความที่ชัดเจนและเป็นมืออาชีพสำหรับลูกค้าและสาธารณะ
อัพเดทสถานะอย่างสม่ำเสมอ: แจ้งความคืบหน้าในการฟื้นฟูและกำหนดเวลาที่คาดหวัง
มีส่วนร่วมกับชุมชน: แสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกับชุมชนที่ได้รับผลกระทบและมีส่วนร่วมในความพยายามฟื้นฟู
ติดต่อกับหน่วยงานกำกับดูแล: ปฏิบัติตามข้อกำหนดการรายงานและขอความช่วยเหลือหากจำเป็น
การเรียนรู้และการปรับปรุงสำหรับอนาคต
1. ทบทวนและประเมินการตอบสนอง
หลังจากที่สถานการณ์เริ่มกลับสู่ภาวะปกติ ให้ประเมินประสิทธิภาพของการตอบสนองของคุณ
จัดการประชุมเพื่อทบทวนหลังการปฏิบัติงาน (After Action Review): วิเคราะห์สิ่งที่ทำงานได้ดีและสิ่งที่ต้องปรับปรุง
รวบรวมข้อเสนอแนะจากพนักงาน: สอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับประสบการณ์และข้อเสนอแนะของพวกเขา
บันทึกบทเรียนที่ได้รับ: สร้างเอกสารบทเรียนที่เรียนรู้เพื่อใช้ในการวางแผนในอนาคต
แบ่งปันแนวปฏิบัติที่ดีที่สุด: แลกเปลี่ยนประสบการณ์กับองค์กรอื่นๆ ในอุตสาหกรรมของคุณ
2. ปรับปรุงแผนการเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติ
ใช้ความรู้ที่ได้รับเพื่อเสริมสร้างความพร้อมสำหรับเหตุการณ์ในอนาคต
อัพเดทแผนความต่อเนื่องทางธุรกิจ (BCP): รวมบทเรียนที่ได้เรียนรู้และปรับปรุงกระบวนการ
จัดการฝึกซ้อมเป็นประจำ: ทดสอบแผนอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนรู้บทบาทของตน
ลงทุนในมาตรการป้องกัน: พิจารณาการปรับปรุงโครงสร้างอาคาร ระบบสำรองข้อมูล หรือมาตรการรักษาความปลอดภัยอื่นๆ
ทบทวนความคุ้มครองด้านประกันภัย: ตรวจสอบว่านโยบายปัจจุบันของคุณเพียงพอสำหรับภัยที่อาจเกิดขึ้นหรือไม่
การบริหารจัดการหลังเกิดภัยพิบัติอย่างมีประสิทธิภาพต้องอาศัยการวางแผนล่วงหน้า ความเป็นผู้นำที่เข้มแข็ง และความสามารถในการปรับตัว แม้ว่าเราไม่สามารถควบคุมเมื่อใดหรือที่ไหนที่ภัยพิบัติจะเกิดขึ้น แต่เราสามารถควบคุมวิธีการเตรียมพร้อมและตอบสนองได้
ติดตามบทความความรู้เกี่ยวกับภาษี เคล็ดลับและความรู้สำหรับพนักงานและผู้ประกอบการ และการพัฒนาทรัพยากรบุคคลได้ที่ ByteHR หรือ หากคุณต้องการเริ่มต้นใช้โปรแกรมสำหรับ HR แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะเริ่มอย่างไรและฟังก์ชันต่างๆจะตอบสนองความต้องการใช้งานของบริษัทคุณหรือไม่ ลองปรึกษา ByteHR ได้ฟรีทาง 02 026 3297 หรือติดต่อ sales@byte-hr.com